ยินดีต้อนรับ สู่ Blogger พรรคการเมือง เพื่อที่จะให้เข้าใจถึงการจัดตั้งพรรคการเมือง จุดประสงค์ในการจัดตั้ง และรายชื่อพรรคการเมืองในปัจจุบัน รวมทั้งกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆในพรรคการเมือง

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

ภาพบรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมือง

พรรคการเมืองกับการรณรงค์ทางการเมือง

ในอดีตการรณรงค์ทางการเมืองเพื่อการหาเสียงเลือกตั้งในประเทศไทยไม่ว่าจะ กระทำโดยผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองยังมีการนำระบบอุปถัมภ์ ผลประโยชน์แลกเปลี่ยน และปัจจัยทางสังคม หรือภูมิหลังของบุคลเป็นหลัก โดยมิได้เห็นความสำคัญหรือมีความเชื่อในสำนึกเหตุผล ทำให้การรณรงค์ทางการเมืองโดยเฉพาะช่วงการเลือกตั้งเป็นการแข่งขันในลักษณะ ของการให้ผลประโยชน์ในรูปของเงินทอง และสิ่งของแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยผ่านระบบอุปถัมภ์ หรือผู้นำในชุมชนต่าง ๆ รวมทั้งมีการโจมตีให้ร้ายแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองคู่แข่งด้วยวิธีการ ต่าง ๆ 


แต่อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการปฏิรูปการเมือง โดยวางกฎกติกาทางการเมืองใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และมีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการเลือกตั้ง อันมีทั้งการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ และการเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง รวมทั้งยังมีคณะกรรมการเลือกตั้ง อันเป็นองค์กรอิสระ เข้ามาทำหน้าที่ควบคุมและจัดการเลือกตั้ง ทำให้พรรคการเมืองต้องปรับกลยุทธ์ในการณรงค์หาเสียงและสร้างจุดขายเพื่อหา คะแนนนิยมให้ตนเองมากกว่าแต่ก่อน จึงได้เกิดมิติใหม่ในการณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมือง โดยพรรคการเมืองมีการนำเสนอนโยบายสาธาณะของพรรคการเมืองผ่านสื่อต่าง ๆ อย่างกว้างขวางมากขึ้น มีการใช้ริเริ่มที่จะนำรูปแบบการณรงค์ทางการเมืองเพื่อการหาเสียงเลือกตั้ง แบบใหม่ของต่างประเทศมาใช้ ด้วยวิธีการทำการตลาดทางการเมือง (Political Marketing) และคงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคการเมืองแรกที่ประสบความสำเร็จในการรณรงค์หาเสียง เพื่อการเลือกตั้งภายหลังการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540
ดังที่ นันทนา นันทวโรภาส ได้กล่าวสรุปไว้ในงานวิจัยเรื่อง “ชนะเลือกตั้งด้วยพลังการตลาด” ว่าพรรคไทยรักไทย ได้นำกรอบแนวคิดการตลาดทางการเมืองทุกชนิดมาใช้ได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับ สภาพสังคมการเมืองไทยทั้งการแบ่งส่วนตลาดผู้เลือกตั้ง (Voter segmentation) ที่สามารถจำแนกได้ละเอียดชัดเจนและเข้าถึงได้ทุกกลุ่ม การจัดวางตำแหน่งของพรรคและหัวหน้าพรรค (Product positioning) เป็นตำแหน่งที่แตกต่างและสร้างประโยชน์แก่พรรค ขณะเดียวกันพรรคก็ใช้ส่วนผสมของการตลาด 4Ps อย่างมีประสิทธิภาพโดยการใช้การวิจัย (Polling) เป็นตัวนำในการออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product) คือ นโยบายที่ตอบสนองความพอใจของผู้เลือกตั้ง และใช้ทั้งการตลาดแบบผลักดัน (Push marketing) ผ่านกิจกรรมต่าง และการตลาดแบบดึงดูด (Pull marketing) ผ่านทางสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง โดยมีกลไกของรัฐเป็นตัวสนับสุนโดยไม่มีข้อจำกัด ซึ่งเมื่อพิจารณาผลการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2548 ที่พรคไทยรักไทยได้รับเลือกตั้งสูงถึง 377 ที่นั่งย่อมเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งภายใต้ กรอบการตลาดเป็นอย่างดี หรือตามที่ สุรนันทน์ เวชชาชีวะ ได้กล่าวถึง ลักษณะของโปสเตอร์ แผ่นพับ ใบปลิวว่า “สำหรับสื่อสิ่งพิมพ์ส่วนใหญ่แล้วเราจะชูท่านหัวหน้าพรรคเป็นหลัก ในระยะแรกพรรคก็เหมือนกับหัวหน้าพรรค เราจึงเน้นที่รูปของท่าน และเนื้อหาคำกล่าวของท่าน...มีคำกล่าวสั้น ๆ ที่หัวหน้าพรรคต้องการสื่อสาร ซึ่งเป็นข้อความสั้น ๆ และสามารถเข้าใจง่าย กินใจหรือโดนใจที่สุด อันเป็นกลยุทธ์เดียวกับการรณรงค์ทางการเมืองด้านสารและวาทะทางการเมืองของ สหรัฐอเมริกา 



ความสำเร็จในการนำการตลาดทางการเมืองมาใช้ในการรณรงค์ทางการเมืองเพื่อหา เสียงเลือกตั้งของไทยรักไทยนั้น ส่งผลให้พรรคอื่น ๆ จำต้องปรับกลยุทธ์ในการรณรงค์ทางการเมืองให้ทันต่อกระแสความต้องการของผู้มี สิทธิเลือกตั้งชาวไทย ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ด้วยการ RE-BRANDING พรรคประชาธิปัตย์ หรือการปรับใช้เทคนิคการ BRANDING นักการเมือง ของพรรคชาติไทย เป็นต้น แนวโน้มในการรณรงค์ทางการเมืองเพื่อหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมืองไทย
(1) พรรคการเมืองมีแนวโน้มในการรณรงค์หาเสียง โดยเน้นการประกาศนโยบายสาธารณะแบบประชานิยม ดังเช่นที่ นิยม รัฐอมฤต ได้กล่าวว่า “...ทิศทางของพรรคการเมืองไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า จะยังไม่มีอะไรมากไปกว่าการแข่งขัน เพื่อให้ตนเองได้มี ส.ส.มากที่สุด และยุทธวิธีที่หนีไม่พ้นก็คือการใช้เงิน และระบบอุปถัมภ์ และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การแข่งขันประกาศนโยบายประชานิยม โดยมุ่งหวังที่จะสร้างคะแนนนิยมจากประชาชน”
(2) ประชาชนที่มีความใกล้ชิดกับข้อมูลข่าวสารจะให้ความสำคัญกับนโยบายของพรรคการเมืองมากขึ้น
(3) สื่อมวลชน ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ และอื่น ๆ จะเข้ามามีบทบาทในการรณรงค์ทางการเมืองเพื่อการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการ เมืองมากขึ้น
(4) เงินยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการรณรงค์ทางการเมืองเพื่อการหาเสียงเลือก ตั้ง แต่อาจมิใช่ปัจจัยชี้ขาดถึงผลสำเร็จของการเลือกตั้ง เพราะหากใช้จ่ายเงินในทางที่ผิดไม่เป็นไปตามกฎหมายอาจจะถูกเพิกถอนสิทธิ เลือกตั้งได้ (ส่วนที่ 6 ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งและวิธีการหาเสียงเลือกตั้ง มาตรา 49-60)
(5) จะมีการใช้ข้อมูลสารสนเทศสำหรับวางแผนและดำเนินการในการรณรงค์ทางการเมือง เพื่อหาเสียงเลือกตั้งมากขึ้น เช่น มีการทำแบบสำรวจโพลล์ เพื่อค้นหาความต้องการของประชาชนมากำหนดเป็นนโยบายของพรรคการเมืองเพื่อใช้ ในการหาเสียงมากขึ้น รวมทั้งมีการสำรวจความนิยมของพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้งอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำข้อมูลมาปรับกลยุทธ์ในการรณรงค์ทางการเมืองเพื่อหาเสียงเลือกตั้งให้ มีประสิทธิภาพตรงใจกับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง มีการปรับวาทะทางการเมืองให้สั้น กระชับ เพื่อดึงดูดใจ และให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งประทับใจในช่วงเวลาอันรวดเร็วและตรงจุดความต้อง การ
(6) พรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งจะรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งควบคู่ไปกับ การจับจ้องพฤติการณ์การหาเสียงเลือกตั้งของคู่แข่งมากยิ่งขึ้น เพื่อหวังผลในการร้องเรียน ร้องคัดค้านอันจะนำมาสู่การไม่ประกาศผลการเลือกตั้งจาก ก.ก.ต. (กรณีที่ตนเองแพ้การเลือกตั้ง) และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งฝ่ายตรงข้าม (มาตรา 114) 

อ้างอิง http://thaipoliticsgovernment.org/wiki/

กลุ่มผลประโยชน์กับปัญหาพรรคการเมือง

ฤดูการซื้อขายตัวนักการเมืองเลือกตั้ง เกิดขึ้นเป็นประจำเหมือนกับฤดูกาลการซื้อขายตัวนักเตะฟุตบอลฝีเท้าเยี่ยม ราคาสูง ต่ำ ขึ้นอยู่กับฐานเสียงที่มักแอบอิงอยู่กับผลคะแนนการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ซึ่งมีลักษณะผันแปรเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ทางการเมือง เช่น บางฤดูกาลการเลือกตั้งนักการเมืองอยู่ในพรรครัฐบาล เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน อยู่ในอันดับเต็งหนึ่งค่าตัวก็มีราคาสูง

บางฤดูกาลไม่ว่าอยู่ในพรรครัฐบาลหรือพรรคฝ่ายค้าน ผลงานไม่เป็นที่ชื่นชมของชาวบ้าน มีคู่แข่งที่สูสีและชาวบ้านเบื่อหน่ายอยากเปลี่ยนตัวใหม่บ้าง ราคาค่าตัวก็ต่ำลงหรืออาจไม่มีราคาเลยก็ได้

ระบบการเลือกตั้ง เป็นระบบที่พรรคการเมืองคัดตัวบุคคลลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร (ส.ส.) คนที่สนใจทางการเมืองต้องอยู่ในแวดวงศ์ญาติ/เผ่าพันธุ์เดิมของนักการเมือง เก่า หรือไม่ก็ต้องเข้าไปแวดล้อมอาสาเป็นลูกน้องหัวหน้าก๊ก/แก๊ง เพื่อให้อุปถัมภ์ค้ำชูช่วยเหลือเงินทองและชื่อเสียงอุ้มเข้าไปเป็น ส.ส.

การเกิดใหม่ของนักการเมืองคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักกิจกรรมทางสังคม นักพัฒนาองค์กรพัฒนาเอกชน ผู้พิพากษา ทนายความ แพทย์ ผู้นำชุมชน ฯลฯ มีโอกาสเกิดขึ้นได้ประมาณร้อยละ 30 แต่ต้องอาศัยเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสำคัญๆ ดังเช่น การเลือกตั้งภายหลังเหตุการณ์พฤษภาคมทมิฬ 2535 ที่เป็นโอกาสของฝ่ายก้าวหน้าแต่ก็ไม่สามารถทะลุทะลวงระบบการเมืองแบบเดิมที่ มีนักการเมืองนายทุน/ลูกน้องนายทุนและนักเลือกตั้งอาชีพได้

ส่วนการเปลี่ยนแปลงในระบบการเลือกตั้งปกติ คนที่เป็น ส.ส.ใหม่ก็คือคนเก่าที่เคยต่อสู้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่ในอันดับที่ 2, 3, 4, 5 นักการเมืองไทยจึงเป็นนักเลือกตั้งที่ทำหน้าที่ยกมือให้กับรัฐบาลมากกว่า เป็นผู้แทนราษฎรที่ทำงานทางด้านนิติบัญญัติ ด้วยการพิจารณากฎหมาย ออกกฎหมายเพื่อประชาชน ตรวจสอบการบริหารจัดการของรัฐบาลและหน่วยงานราชการ

สิ่งที่นักการเมืองเก่าส่วนใหญ่เคยทำและทำอยู่ในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง ก็คือ การจัดตั้งหัวคะแนนในพื้นที่ทุกหมู่บ้าน/ชุมชน กลุ่ม/องค์กรชุมชนต่างๆ โดยใช้ระบบอุปถัมภ์ช่วยเหลือเกื้อกูลเงินทอง แก้ไขปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนให้ทั้งครอบครัวและญาติ การบริจาคเงินทอง สิ่งของ วัตถุ เต๊นท์ น้ำดื่ม ไม่ว่างานศพ เจ็บป่วยไปโรงพยาบาล งานวันเกิด งานแต่งงาน งานทำบุญบ้าน ฯลฯ

อ้างอิง http://news.sanook.com/scoop/scoop_183602.php

บรรยากาศการปราศรัยหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

พรรคไทยพอเพียง

จัด อบรมปรัญชา "เศรษฐกิจพอเพียง" ทั่วประเทศ เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันครบ 5 ครั้งได้ค่าตอบแทนคนละ 10,000 บาท อบรมแล้วให้กู้ประกอบอาชีพและใช้หนี้นอกระบบ รายละไม่เกิน 200,000 บาท โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันและไม่มีดอกเบี้ย ออกกฎหมายห้ามยึดบ้าน ที่ดินทำกิน และยึดรถที่ใช้ประกอบอาชีพ และจัดที่ทำกินให้ครอบครัวละ 10 ไร่ เพื่อทำเกษตรทฤษฎีใหม่ ปลดหนี้ในและนอกระบบโดยการซื้อหนี้ พักชำระหนี้และประนอมหนี้ อายุ 60 ปียกหนี้ให้ทั้งหมด ผู้สูงอายุ คนพิการได้รับเบี้ยยังชีพคนละห้าพันบาทต่อเดือน รักษาฟรี! เรียนฟรี! จริงๆ

นโยบายพรรคกิจสังคม


พรรค กิจสังคมมีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน เพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวไทยทุกกลุ่ม พรรคจะดำเนินนโยบายกองทุนหมู่บ้าน ส่งเสริมด้านเกษตรกรรมโดยใช้ชลประทานระบบท่อ ด้านเศรษฐกิจจะส่งเสริมให้เอกชนเป็นผู้นำ และพรรคจะพัฒนาเมืองหลวงโดยการกระจายความเจริญออกสู่เมืองบริวาร

พรรครักประเทศไทย


เมื่อ ทุกพรรคต้องการเป็นรัฐบาลเพื่อให้ได้เข้าไปบริหารประเทศ ได้สัมปทานประเทศไทย ผลประโยชน์มหาศาลนี้ต้องมีคนตรวจสอบ ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น เกิดมาทุกยุค ทุกสมัย ทุกรัฐบาล พรรครักประเทศไทยขอเสนอตัวเป็นฝ่ายค้านเพื่อตรวจสอบการทำงาน ติดตามนโยบายต่างๆ ที่บรรดานักการเมืองให้คำมั่นสัญญาเมื่อได้เข้าไปบริหารประเทศ ประชาชนและประเทศชาติจะได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง

นโยบายพรรคเพื่อไทย


สาย ต่อนโยบายแก้ความยากจน ยาเสพติด ทุจริตคอร์รัปชั่น เดินหน้านโยบายใหม่ : ก้าวข้ามวิกฤตสู่สังคมสันติสุข : รับจำนำข้าวและออกบัตรเครดิตเกษตรกร : กองทุนตั้งตัวได้ คืนภาษีบ้านหลังแรก/รถคันแรก : พัฒนาโครงข่ายระบบราง : เพิ่มเงินเดือนปริญญาตรี/ค่าแรงขั้นต่ำ : ปรับปรุงคุณภาพการศึกษาไทย-คอมพิวเตอร์ฟรี-อินเตอร์เน็ตฟรีในที่สาธารณะ- เพิ่มกองทุน-1 อำเภอ 1 ทุน ต่างประเทศ : สร้างเมกะโปรเจ็คต์กระตุ้นเศรษฐกิจ-ป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ/ภาคกลาง-พัฒนา ระบบน้ำทั้งประเทศ-สะพานเชื่อมเศรษฐกิจภาคใต้

นโยบายพรรคภูมิใจไทย


1.กอง ทุนประกันราคาสินค้าเกษตรข้าวเปลือกตันละ 20,000 บาท 
2.กองทุนสวัสดิการผู้บำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม 
3.กองทุนจ้างงานแห่งชาติ 1 ล้านตำแหน่ง 
4.กองทุนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวผ่าน อปท. จังหวัดละ 100 ล้านบาทต่อปี 
5.ถนนปลอดฝุ่นทั้งประเทศ 
6.สร้างทางน้ำเข้าไร่ นา เกษตรกร 
7.ศูนย์ฝึกนักกีฬาอาชีพ 4 ภาค
8.สร้างที่ทำกิน 1 ล้านคน

นโยบายพรรคประชาธิปัตย


 ครอบ ครัวต้องเดินหน้า เพิ่มรายได้และลดรายจ่ายด้วยการมอบเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุทุกคน มีไฟฟ้าฟรีให้ผู้ที่ใช้น้อย ตรึงราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้ม เพิ่มเงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำเพื่อการศึกษา และจัดการปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาด เศรษฐกิจต้องเดินหน้ายกระดับความเป็นอยู่ด้วยการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มเงินกำไรในการประกันรายได้เกษตรกร ปรับโครงสร้างหนี้นอกระบบ ให้เกษตรกรมีที่ทำกิน และมีบำเหน็จบำนาญให้ประชาชนทุกคน ประเทศต้องเดินหน้า พัฒนาศักยภาพของประเทศด้วยการเร่งจัดหาพลังงานทดแทน สร้างเขตเศรษฐกิจเพื่อยกระดับสินค้า มีรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโยงกรุงเทพฯและภูมิภาค และจัดหาแหล่งน้ำ